เคล็ดลับของครอบครัวที่มีความสุข

คนเราทุกคนล้วนมาจากครอบครัวที่มีความทุกข์สุขต่างกัน บางครอบครัวก็สุขมาก บางครอบครัวสุขน้อย หรือทุกข์มาก อะไรทำให้ครอบครัวเหล่านี้แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่ทุกคนล้วนประสบความทุกข์สุขเหมือนๆ กัน

จากการที่ได้ศึกษาเรื่องของครอบครัวและได้มีโอกาสให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวหลายปี ผู้เขียนได้รวบรวมแนวความคิดคร่าวๆ ในการนำเสนอเป็นเคล็ดลับที่ถ้าคุณลองไปพิจารณาใช้ดู อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับคุณและคนที่คุณรักก็ได้

เปลี่ยนมุมมองและการใช้พลังงาน

คนเราส่วนใหญ่มักจะดูผู้อื่น คนอื่น ความผิดของคนอื่นมากกว่าการดูตัวของเราเอง เช่น ถ้าเราแล่นรถไปเฉี่ยวชนผู้อื่น เรามักจะบอกว่า เขาเดินไม่ระวัง ซุ่มซ่าม แต่หากเราเป็นผู้เดิน เราถูกรถเฉี่ยวชน เราก็จะบอกว่า รถขับไม่ดี ในครอบครัวก็เช่นกัน เรามักจะพูดถึงความผิดพลาด บกพร่องของสมาชิกในครอบครัว เช่น ภรรยาชอบบ่น สามีไม่มาดูแลสนใจ ลูกไม่เรียนหนังสือ ฯลฯ การมุ่งแต่เรื่องที่เป็นด้านลบของคนอื่น จะทำให้จิตใจเราและพลังงานของเราทุ่มไปกับสิ่งที่เป็นความทุกข์ เดือดร้อนที่เรารู้สึกว่าเราไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ลักษณะนี้ อยากจะขอเปรียบเทียบกับวงกลมในความคิด 2 วง

  • วงแรกเป็นวงของ "เรื่องคนอื่น" ส่วนวงกลมที่ 2 เป็นเรื่องของตัวเราเองที่เราจะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ หากเรามุ่งพลังงานของเราไปทุกข์ร้อนอยู่กับวงกลมแรก ซึ่งเป็นเรื่องของคนอื่นที่เราเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ ก็จะยิ่งทำให้วงกลมแรกของเราขยายใหญ่มากขึ้น ในความรู้สึกนึกคิด จะไปไหนทำอะไรก็แบกวงกลมนี้ไปด้วย หน้าตาเราก็จะมีแต่ความทุกข์ ในสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ และพลังงานของเราก็จะถูกทุ่มลงไปนึกคิดวนเวียนอยู่แต่ในเรื่อง ที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ และยิ่งวงกลมแรกมีเนื้อที่มากเท่าใด ก็จะกินเนื้อที่ของวงกลมที่ 2 ให้หมดไป เปรียบคล้ายความมืดที่กินแดนความสว่างไปเท่านั้น
  • แต่ถ้าเรามุ่งไปที่วงกลมที่ 2 วงกลมที่เราจะมีโอกาสทำอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องที่เราบังคับบัญชาได้ เราก็จะลุกขึ้นมาจัดการกับสิ่งที่ควรจะต้องเป็นต้องทำ เช่น ถ้าเราเป็นคนขี้บ่น เราอาจจะอยากปรับปรุงตัวเอง และค่อยๆ ปรับแก้ไขไปทีละเล็กละน้อย เราจะรู้สึกว่า เราบ่นน้อยลง พลังของเราจะถูกเปลี่ยน ให้มาอยู่ที่การพัฒนาตัวเอง และไม่ไปเพ่งโทษผู้อื่น ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็เท่ากับเราขยายวงกลม ของตัวเราให้ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น และจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขกับตัวเราเองมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะรู้ว่า จากการที่เรามีการเปลี่ยนแปลงนี้เอง คนที่อยู่กับเราเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย ในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน

    ขอให้คุณเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า สมาชิกครอบครัวแต่ละคนเปรียบเสมือนตัวโมบาย แต่ละตัวที่แขวนไว้รวมกันภายใต้ชายคาเดียวกัน ถ้าตัวหนึ่งแกว่ง (เปลี่ยนแปลง) ตัวอื่นๆ จะต้องแกว่งตามด้วยเสมอ เขาจะอยู่ที่เดิมไม่ได้ถ้าคุณเปลี่ยน ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้มีโอกาสไปสอนวิชาทาจิตวิทยาให้กับพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้เรียนชายที่มาขอคุยด้วย พอเขาเริ่มคุย เขาก็เริ่มพูดถึงปัญหาของทุกคนในครอบครัวว่า มีลักษณะอย่างไร และมันมีผลทำให้เขาต้องดื่มมากขึ้น และไม่ใคร่อยากกลับบ้านหรือถ้ากลับก็ดึกๆ ดื่นๆ ผู้เขียนก็ถามว่า เขาอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัว เขาบอกว่า อยากให้ภรรยาบ่นให้น้อยลง และลูกๆ ไม่เกเร ผู้เขียนก็บอกว่า เผอิญภรรยาและลูกไม่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้ แต่เมื่อมีแต่เขา ผู้เขียนก็บอกว่าถ้าภรรยา และลูกเป็นอย่างที่คุณต้องการ แล้วคุณล่ะ จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็บอกว่า เขาคงไม่ต้องดื่มเหล้าและกลับบ้านให้เร็วขึ้น ผู้เขียนบอกว่า ฟังดูเขาอยากให้คนอื่น เปลี่ยนก่อนเขาจึงจะเปลี่ยน ก็เลยแนะไปว่า ให้เขาลองเปลี่ยนดูก่อน และดูว่าผลที่ออกมา จะเป็นอย่างไรกับภรรยาและลูก ปรากฏว่าหลังจากนั้นอีก 3 เดือน เขาส่งข่าวมาบอกว่า มันน่าประหลาดที่เขาลองทำตามคำแนะนำ และเปลี่ยนตัวเองก่อน ผลก็คือ เดี๋ยวนี้ภรรยาบ่นน้อยลงมาก และลูกก็ไม่เกเร เขารู้สึกมีความสุขมากขึ้น เรื่องของเขาอาจจะเกิดขึ้นได้กับอีกหลายๆ ครอบครัว คือเรามักบ่นแต่ความไม่ดีของคนอื่น แต่ไม่ยอมทำอะไรเพื่อแก้ไขตัวเองบ้าง ทุ่มพลังไปแต่ในวงกลมที่เป็นเรื่องของคนอื่น ซึ่งเราไม่มีอำนาจในการไปบังคับอะไรเขาเลย แต่ถ้าเราลองกลับมามองที่ตัวเราเอง เอาวงกลมที่ 2 เป็นศูนย์กลาง ทุ่มพลังไปที่วงกลมนั้น เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นเร็วกว่ามากมาย ทั้งนี้ เพราะเมื่อตัวโมบายตัวหนึ่งเคลื่อนที่ไป ตัวอื่นๆ จะอยู่ที่เดิมไม่ได้ นี่เป็นกฎแห่งสัจธรรมข้อหนึ่ง

    เติมความเมตตาให้เกิดกับจิตใจคุณ

    ความอ่อนโยน เมตตา จะทำให้ทุกอย่างที่เป็นเรื่องบาดหมางได้ลดความรุนแรงลง วรยาครูมัธยมโรงเรียนแห่งหนึ่งเล่าว่า เธอเคยรู้สึกโกรธแม่ที่รักเธอน้อยกว่าลูกคนอื่นๆ และเท่าที่จำได้ แม่ไม่เคยกอดเธอเลยแม้สักครั้งเดียวในชีวิต แต่ต่อมาภายหลังเธอทราบความจริงว่า คุณตาเป็นคนค่อนข้างแข็งและเลี้ยงแม่แบบเผด็จการ คุณตาก็ไม่เคยกอดแม่ และไม่แสดงความรัก กับแม่เช่นกัน ข้อมูลนี้ ทำให้เธอมองแม่ด้วยมุมมอง ที่ต่างออกไปจากเดิม เธอกลับรู้สึกสงสารและเห็นใจแม่ ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไร ตอนนี้เธอจะรู้สึกเพียงว่า อยากให้แม่ได้รับความรักจากเธอ ความรักที่แม่ไม่ได้รับ จากคุณตา เมื่อเธอมองแม่ใหม่เช่นนี้ จิตใจเธอมีแต่ความอ่อนโยน ไม่เคียดแค้นและให้อภัย สิ่งหนึ่งที่จะช่วยสร้างความอ่อนโยนให้เกิดกับครอบครัวได้ก็คือ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงความมีน้ำใจต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดให้กำลังใจ ขอบคุณ ช่วยกรุณา ฯลฯ หรือพฤติกรรมที่น่ารักอื่นๆ เช่น การให้ของระลึกแก่กันในวันสำคัญ หรืออาจจะเป็นเพียงการ์ดอวยพรสักใบ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นคล้ายกาวใจที่ทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างของคนบางคนอ่อนโยนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ และสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละที่จะสร้างความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวทีละเล็กละน้อย ข้อสำคัญถ้าคุณคิดอยากจะลองทำ อย่าผัดวันประกันพรุ่งและอย่าคอยให้โอกาสมาถึง บางครั้งการคอยที่จะชื่นชมใครสักคนและคอยจะให้มีจังหวะเหมาะๆ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้โอกาสสักที บางครั้งเวลาผ่านล่วงเลยไปจนกระทั่งหมดวาระที่ควรจะพูด ทำให้เราไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ดังนั้นอยากจะขอฝากผู้อ่านทุกคนว่า หากคุณมีสิ่งที่ดีงามอยากพูดให้คนอื่นฟัง โปรดทำในขณะที่ยังอยู่ในปัจจุบัน อย่าให้เวลาผ่านไป ใครเล่าจะรู้ว่า คำพูดที่ว่ารักใครสักคนสำหรับบางคนนั้น ไม่มีโอกาสได้บอกออกมาเลย ในช่วงที่คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ อย่าคอยจนเราหรือเขาได้จากกันไป เพราะมันไม่คุ้มเลยที่จะเคาะฝาโลง และบอกพ่อแม่ว่าเรารักท่านเพียงใด ในคำพูดที่ไม่มีโอกาสได้พูดในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ สามีคนหนึ่งเคยนำสิ่งที่เขียนไว้นี้ไปทดลองกับภรรยาที่บ้าน เขาเล่าว่า เขาแต่งงานกับภรรยา มาหลายปีแล้ว แต่ไม่ใคร่ได้เคยแสดงความรู้สึกชื่นชมอะไรกับเธอเลย วันหนึ่งเขาลองพูดชมเธอ เธอค่อนข้างจะถือว่าเป็นเรื่องตลก ที่อยู่ๆ ก็มานั่งชมกัน แต่เขาก็ไม่ได้หยุดการชื่นชม บางที 2-3 วันที เขาก็จะพูดให้เธอมีกำลังใจ เขาเล่าว่า ดูเธอมีความอ่อนโยนมาก และความหงุดหงิดที่เคยแสดงออกกับลูกๆ ก็จะลดลง และขณะนี้ ครอบครัวของเขามีสิ่งแปลกประหลาดตามมา นั่นก็คือลูกๆ จะเริ่มมีคำพูด ที่แสดงการชื่นชมกันมากขึ้น และความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    หัดขอโทษให้เป็น

    การกล่าวคำขอโทษดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่เคยมีการพูดกันเลยในบางครอบครัว การกล่าวคำขอโทษช่างเป็นสิ่งที่ทดสอบความกล้ารับผิดของมนุษย์อย่างยอดเยี่ยม เพราะเหตุที่เราทุกคน ไม่ใคร่มีผู้ใดอยากรับว่าตนเองก็ทำผิดได้ ดังนั้นการพูดคำคำนี้ จึงไม่เกิดขึ้นกับคนเป็นจำนวนมาก จริงๆ แล้วถ้าจะเริ่มขึ้นที่พ่อแม่ก่อน ก็จะยิ่งทำให้ลูกๆ เรียนรู้ที่จะพูดคำคำนี้ได้เร็ว เช่น "ลูกพัท พ่อขอโทษที่ดุลูกต่อหน้าเพื่อน มันคงทำให้ลูกรู้สึกอาย พ่อเสียใจ พ่อไม่ควรพูดเช่นนั้นกับลูก" "คุณคะ ฉันเสียใจที่เมื่อวานฉันใช้อารมณ์กับคุณมากไป มันเหมือนกับฉันไม่ฟังคุณเลย ฉันขอโทษ" ถามตัวคุณเองว่า คำพูดทำนองนี้ คุณเคยได้ยินพ่อแม่ของคุณพูดบ้างไหม? หรือคุณเคยใช้คำพูด กับสมาชิกในครอบครัวบ้างหรือไม่? ถ้าคำตอบคือ ไม่ คุณก็อาจจะลองใช้ดู เวลาที่คุณทำสิ่งที่ผิดพลาดจริงๆ ออกไป การยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง เป็นก้าวแรกของการพัฒนาตนของมนุษย์ทุกคน คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยกล่าวขอโทษใครเลยนั้น มักจะมีความคิดว่าการกล่าวคำขอโทษ ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี และแสดงว่าเขาเป็นคนผิด แต่จริงๆ แล้วการกล่าวคำขอโทษเป็นสิ่งที่แสดง ความเป็นมนุษย์ปุถุชนของคุณเองต่างหากว่าคุณยังไม่ได้เป็นเทวด คุณจึงทำผิดได้ และถ้าคุณได้ใช้ ในบ้านกับสมาชิกในครอบครัว เวลาพวกเขาทำผิด เขาก็จะรู้วิธีของโทษคุณเป็น แล้วคุณไม่ชอบหรอกหรือ? เด็กๆ ทุกคน อยากจะเห็นพ่อแม่ของเขาเป็นคนเดินดินธรรมดา ที่ทำสิ่งที่ผิดพลาดเป็น เขาไม่ต้องการถูกปกครองโดยเทวดาที่มีแต่ความถูกต้อง ทั้งๆ ที่บางเรื่องคุณก็ทำไม่เข้าท่า แต่ก็ยังไม่ยอมรับผิด จะทำให้ลูกคุณมองว่าคุณมี DOUBLE STANDARD คือตัวเองผิดได้ แต่คนอื่นห้ามผิด

    พยายามประคับประคองจิตใจตนเอง

    คิดในด้านดี ไม่พูดจาในลักษณะที่ให้ร้ายป้ายสี จิกตีกับสมาชิกในครอบครัวทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับพ่อแม่พี่น้อง พยายามอย่าหมกมุ่นคิดแต่สิ่งที่เลวร้ายที่เขาทำ ให้พยายามมองในสิ่งที่ดีในส่วนของเขา ไม่ว่าเขาจะเลวร้ายกับคุณอย่างไรก็ตาม ให้ใช้หลักเมตตามหานิยม คือถ้าคุณเป็นชาวพุทธหรือคริสต์คุณก็ทำได้เหมือนๆ กัน นั่นก็คือ เวลาคุณสวดมนต์ก่อนนอน ให้นึกถึงสมาชิกในครอบครัวทุกคนทีละคน ในส่วนที่เป็นส่วนดีที่เขาเคยทำกับใครก็ตามและแผ่เมตตา ไปให้เขามีแต่ความสุข ความเจริญ แค่นี้ จิตใจคุณก็จะคลายจากความอาฆาตพยาบาท แม้ว่าสามี หรือภรรยาจะแสดงพฤติกรรมที่เลวร้ายกับคุณปานใดก็ตาม อย่าคิดในวงกลมของความพยาบาทจองเวร ให้หมั่นคิดแต่ด้านที่เป็นวงกลมของคุณนั่นก็คือ แผ่ส่วนบุญกุศลไปให้เขา และคุณจะรู้เองว่า แม้พฤติกรรมของเขายังไม่เปลี่ยน แต่ความรู้สึกของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่สงบ และสบายเบามากขึ้น และเมื่ออยู่ต่อหน้าหรือลับหลัง ก็ไม่พูดในทางไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขาเพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง และคุณก็จะยิ่งสะสมความเกลียดชังไว้ในใจอย่างต่อเนื่อง คุณต้องพยายามรักษาจิตใจของคุณให้มีความสมดุลให้มากที่สุด สามารถอยู่กับสถานการณ์ที่เลวร้าย โดยไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมาครอบงำจิตใจจนคุณเศร้าหมอง หากคุณประคับประคองใจให้สงบอยู่ได้ แม้ในบรรยากาศของครอบครัวที่มีความรุนแรงก็ตาม อีกไม่นาน ใครๆ ก็ต้องหันมาหาคุณ เพราะคุณ "เย็นและสงบ" ในขณะที่คนอื่นๆ มีแต่ความเร่าร้อนกระวนกระวาย และเมื่อคุณสงบเสียคนหนึ่งในบ้านได้ อีกหน่อยคุณก็จะเป็นที่พึ่งของทุกคนในครอบครัวได้

    ให้และรักษาสัญญาที่ให้กับสมาชิกในครอบครัว

    วิทยาเป็นพ่อบ้านนักธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ วันหนึ่งเขาสัญญากับลูกสาวว่า จะไปดูเธอแข่งว่ายน้ำ ปรากฏว่า ก่อนเวลานัดเกิดมีโทรศัพท์สำคัญจากลูกค้าขอเจรจาเรื่องที่ดิน ที่มีความสำคัญมากกับอนาคตของเขา วิทยาชั่งใจอยู่ชั่วครู่และก็บอกกับลูกค้ารายนั้นไปว่า "ผมอยากไปพบคุณมาก แต่เผอิญผมมีนัดกับลูกสาวว่าจะไปดูเธอแข่งว่ายน้ำ และเป็นสิ่งที่เธอหวังในตัวผมมาก ผมคงจะต้องขอโทษที่ผมไปพบคุณไม่ได้ในคืนนี้" ผลปรากฏว่า วิทยาไม่ได้สัญญาขายที่ดินจากลูกค้าผู้นั้น แต่เขาได้ชนะจิตใจลูกสาวที่เที่ยวบอกใครต่อใครว่า ที่เธอชนะในวันนั้น เป็นเพราะพ่อไปเชียร์เธอ และจนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่กาลเวลาได้ผ่านพ้นไปเกือบ 20 ปี จิตรประภัสก็ยังไม่เคยลืม คืนแห่งความทรงจำนั้นเลยว่า เป็นคืนพิเศษและความรักที่เธอมีต่อพ่อและพ่อมีต่อเธอนั้น ยิ่งใหญ่เพียงไร

    อย่าลืมที่จะให้อภัยไม่ติดใจจดจำ

    การให้อภัยผู้อื่นเป็นคุณธรรมอันสูงส่ง เมื่อใดก็ตามที่คุณยกโทษให้ใครสักคน คุณกำลังเปิดใจของคุณ ให้เขารู้ว่า คุณรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข คุณสามารถทำจิตใจของคุณให้ผ่องใส ยกระดับให้สูงกว่าเดิม และในขณะเดียวกัน คำให้อภัยจากคุณก็เปรียบคล้ายกับคำพูดทิพย์ที่จะเปลี่ยนจิตใจของคนบางคน ให้อ่อนโยนลงได้ เพราะถ้าคุณไม่ยอมยกโทษให้เขา แสดงว่าตัวคุณเอง ได้เข้าไปอยู่ระหว่างความรู้สึกเป็นบาป เกลียดชังของเขา แทนที่เขาจะได้มีการแก้ไขพัฒนาจิตใจของเขา เขากลับต้องมาใช้พลังทุ่มเท อยู่กับการปกป้องตนเองและหาข้ออ้างหรือข้อแก้ต่างสำหรับสิ่งที่เขาทำกับคุณ หวังว่าที่ได้กล่าวมาทั้ง 6 ข้อ คงทำให้คุณอยากจะทดลองบางสิ่ง บางอย่างดู การอ่านเฉยๆ โดยไม่ทดลองจากสิ่งที่อ่าน ก็เหมือนกับการรู้จักเพียงวิธีทำขนม แต่ไม่ได้ลองชิมดู ถ้าคุณลองทำแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งในวันนี้ คุณจะค่อยๆ เห็นด้วยตัวคุณเองถึงความเปลี่ยนแปลง บางสิ่งบางอย่างในครอบครัวของคุณ บางอย่างอาจจะใช้เวลาไม่นานในการเห็นผล แต่บางอย่างที่หยั่งรากลงไปนานแล้ว ย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลง และเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว ตัวคุณเองนั่นแหละที่จะเป็นผู้รู้สึกภูมิใจว่า คุณได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้แล้วในที่สุด